สถานการณ์ราคาอาหารโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นรอบนี้ เป็นทั้งวิกฤติและโอกาสสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการเกษตรของไทย ซึ่งแม้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าจะนำไปสู่วิกฤติราคาอาหารเหมือนในอดีต แต่ไทยเองก็ต้องเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความเสี่ยงเหล่านั้น โดยควรเน้นเรื่องการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืช และลดพึ่งพิงการนำเข้า เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาอาหารโลกที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา ราคาอาหารโลกจะปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างมาก แต่จากสถานการณ์ที่เริ่มผ่อนคลายมากขึ้นในปัจจุบัน ทำให้เชื่อได้ว่าไม่น่าจะนำไปสู่การเกิดวิกฤติอาหารโลกแต่อย่างใด? ราคาอาหารโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลโดยตรงมาจากภาวะภัยแล้งรุนแรงที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ที่ได้สร้างความเสียหายต่อพื้นที่ทางการเกษตรในวงกว้าง โดยพบว่า ราวร้อยละ 80 ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรงจากปัญหาดังกล่าว ส่งผลให้ราคาข้าวโพดและถั่วเหลืองในตลาดโลกในเดือนสิงหาคมปรับตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 25? และร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน (สหรัฐฯ เริ่มประสบภัยแล้ง) เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก โดยส่งออกข้าวโพดเป็นอันดับ 1 และถั่วเหลืองเป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งจากการที่ราคาธัญพืชโลกปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้องค์กรระดับนานาชาติหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นธนาคารโลก หรือแม้แต่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้ออกมาแสดงความกังวลใจถึงความเป็นไปได้ที่โลกอาจจะต้องเผชิญกับวิกฤติราคาอาหารเหมือนช่วงปี 2007-2008 แต่อย่างไรก็ดี จากตัวเลขดัชนีราคาอาหารโลกของ FAO ล่าสุด เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มมีแนวโน้มทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า จากสถานการณ์ภัยแล้งในสหรัฐฯ ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับประเทศผู้ส่งออกธัญพืชที่สำคัญของโลก เช่น รัสเซีย อินเดีย เวียดนาม ไม่ได้มีมาตรการระงับการส่งออกเหมือนช่วงปี 2007-2008 ทำให้เราเชื่อได้ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าจะนำไปสู่การเกิดวิกฤติราคาอาหารโลกเหมือนในอดีตที่ผ่านมา สำหรับผลกระทบทางตรงต่อไทยคือ ผู้ประกอบการในธุรกิจผลิตอาหารสัตว์และผลิตภัณฑ์จาก ถั่วเหลืองจะต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากข้าวโพดและถั่วเหลือง ถือได้ว่าเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ โดยพบว่า ในการผลิตอาหารสัตว์ 1 ตันจะต้องมีส่วนผสมของข้าวโพดมากถึงร้อยละ 52 และกากถั่วเหลืองอีกร้อยละ 31 และการที่ปัจจุบัน ไทยยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าถั่วเหลืองถึงกว่าร้อยละ 90 ของปริมาณความต้องการใช้ภายในประเทศ (ในปี 2011 ไทยนำเข้าถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองประมาณ 4.2 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 67,000 ล้านบาท) สถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นจึงส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น น้ำมัน ถั่วเหลืองของผู้ประกอบการไทยเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยพบว่า ล่าสุด ราคากากเมล็ดถั่วเหลืองนำเข้าและราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หน้าโรงงานในเดือนสิงหาคมได้ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนมิถุนายนถึงร้อยละ 27 และร้อยละ 6 ตามลำดับ ขณะที่ผลกระทบทางอ้อมที่จะตามมาคือ การปรับตัวสูงขึ้นของราคาเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ ผ่านทางต้นทุนในการเลี้ยงปศุสัตว์ที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ จากข้อมูล พบว่า ต้นทุนอาหารสัตว์คิดเป็นสัดส่วนมากถึงราวร้อยละ 70-80 ของต้นทุนรวมในการเลี้ยงสัตว์ ดังนั้น ราคาอาหารสัตว์ที่เพิ่มสูงขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังต้นทุนของผู้เลี้ยงปศุสัตว์ค่อนข้างมาก รวมทั้งยังส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคผ่านราคาเนื้อสัตว์ที่คาดว่า จะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย อนึ่ง USDA คาดการณ์ว่า ราคาเนื้อสัตว์มีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 4? ในปีนี้และร้อยละ 3.5 ในปีหน้า โดยคาดว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นน่าจะสะท้อนให้เห็นในราคาเนื้อไก่เป็นลำดับแรก เนื่องจากมีรอบการผลิตที่สั้นกว่าสัตว์ชนิดอื่น (ไก่เนื้อ 40-50 วัน/ หมู 120-150 วัน) แต่ในทางกลับกัน ราคาธัญพืชโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นดังกล่าว ก็ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมข้าวโพดและมันสำปะหลังของไทยผ่านทั้งรายได้และความต้องการที่สูงขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ จากข้อมูลในอดีตพบว่า การปรับตัวของราคาข้าวโพดในประเทศมักจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับราคาตลาดโลก? ดังนั้น การที่ราคาข้าวโพดในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นก็ย่อมจะส่งผลให้ราคาในประเทศปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยพบว่าในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ราคาขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เกษตรกรได้รับปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 21 จากราคาเฉลี่ยในปีที่ผ่านมา(ผลผลิตข้าวโพดของไทยเกือบทั้งหมด คือ กว่าร้อยละ 95 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ) ขณะเดียวกัน ราคาข้าวโพดในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นยังส่งผลดีต่อทั้งราคาและปริมาณความต้องการใช้มันสำปะหลังของโลกซึ่งเป็นสินค้าทดแทนในหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการผลิตแอลกอฮอล์ อาหารสัตว์ กรดมะนาว หรือแม้แต่ในอุตสาหกรรมกระดาษ (ไทยส่งออกมันสำปะหลังประมาณร้อยละ 72 ของผลผลิตทั้งหมด) สะท้อนได้จากราคามันเส้นที่มักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับราคาข้าวโพด ซึ่งหากราคาข้าวโพดในตลาดโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกันที่ราคาส่งออกมันเส้นของไทยจะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วยในระยะต่อไป อย่างไรก็ดี ประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับนั้น ยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการรักษาหรือเพิ่มผลิตภาพการผลิตให้สูงขึ้น ภายใต้ความเสี่ยงจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น นอกจากความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและความแปรปรวนของสภาพอากาศในภูมิภาคอื่นแล้ว ประเทศไทยเองก็มีความเสี่ยงที่จะประสบปัญหาดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยพบว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ไทยประสบกับปัญหาภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายต่อพื้นที่เกษตรกรรมของประเทศในวงกว้าง โดยในปี 2001 พื้นที่เกษตรกรรมของไทยได้รับความเสียหายจากปัญหาอุทกภัยเป็นวงกว้างมากถึง 29 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของพื้นที่เกษตรกรรมทั่วประเทศ หรือแม้แต่ล่าสุดในปีที่ผ่านมาซึ่งพื้นที่เกษตรกรรมเสียหายจากอุทกภัยจำนวน 13 ล้านไร่? หรือคิดเป็นราวร้อยละ 10 ของพื้นที่เกษตรกรรมทั่วประเทศ ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในภาคเกษตรกรรมให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาสายพันธุ์พืชที่มีความทนทานต่อสภาพอากาศที่มีแนวโน้มแปรปรวนมากขึ้น จากข้อมูลพบว่าในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลไทยอาจจะยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาด้านการเกษตรมากเท่าที่ควร สะท้อนได้จากงบประมาณด้านการวิจัยในภาคเกษตรต่อ GDP ของประเทศที่มีแนวโน้มปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยลดลงจากร้อยละ 0.7 ในปี 2000 มาอยู่ที่เพียงร้อยละ 0.1 ในปี 2009 โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันซึ่งภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น การลงทุนวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชที่สามารถทนแล้ง ทนร้อน และทนน้ำท่วมขังในระยะเวลานานๆ ได้มากขึ้นจึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นมากขึ้นทุกขณะในปัจจุบัน รวมทั้งควรส่งเสริมให้มีการปลูกถั่วเหลืองในประเทศเพิ่มมากขึ้นทั้งในฐานะพืชหลักและพืชหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพิงการนำเข้าจากต่างประเทศ ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5? รัฐบาลไทยได้ส่งเสริมให้มีการปลูกถั่วเหลืองให้เพียงต่อการบริโภคภายในประเทศ เป็นผลให้ในปี 1989 ไทยมีพื้นที่เพาะปลูกถั่วเหลืองสูงถึง 3 ล้านไร่ อย่างไรก็ดี ในช่วงกว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา พื้นที่เพาะปลูกถั่วเหลืองของไทยกลับลดลงมากกว่าร้อยละ 80 ส่วนหนึ่งเนื่องจากรัฐบาลตัดงบประมาณในการช่วยเหลือด้านเมล็ดพันธุ์แก่เกษตรกร รวมทั้งผลตอบแทนที่ได้จากการปลูกถั่วเหลืองยังต่ำกว่าการปลูกพืชชนิดอื่นๆ เป็นผลให้ปริมาณผลผลิตถั่วเหลืองของไทยไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ ส่งผลให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศในสัดส่วนที่สูง ซึ่งหากไทยสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตถั่วเหลืองให้มากขึ้นได้ นอกจากจะทำให้ประเทศมีความมั่นคงทางด้านอาหารมากขึ้นแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย