1.โอบามาเป็น president ของสหรัฐเป็นสมัยที่ 2 ถึงแม้โพลแทบทุกสำนักในช่วงใกล้วันเลือกตั้งต่างระบุว่าคะแนนจะออกมาอย่าง คู่คี่มาก แต่ผลการโหวตจริงๆ ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ตัวแทนของพรรคเดโมแครต สามารถชนะ มิตต์ รอมนีย์ อดีตผู้ว่าการมลรัฐแมสซาชูเซตส์ ตัวแทนของพรรครีพับลิกัน ได้ด้วยคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) 332 ต่อ 206 ส่วนคะแนนของประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงก็มีชัยในระดับ 50.6% ต่อ 47.9% ทำให้โอบามาได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สอง 2.สหรัฐเกือบต้องเผชิญหน้าผาการคลัง ตลาดการเงินของสหรัฐฯ และทั่วโลกอยู่ในอาการฝันร้าย เมื่อเหลือเวลาไม่กี่วันก็สิ้นปี 2012 แล้ว แต่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา และพรรคเดโมแครตของเขาที่เป็นผู้ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ยังคงไม่สามารถทำความตกลงกับพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นผู้ควบคุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อออกกฎหมายและมาตรการใหม่ๆ ที่จะหลีกเลี่ยงการตกลงมาจาก “หน้าผาการคลัง” (Fiscall Cliff) ถึงแม้นักเศรษฐศาสตร์เตือนแล้วเตือนอีกว่า ถ้าปล่อยให้มาตรการต่างๆ ในการลดภาษีมีอันหมดอายุบังคับใช้ไป ขณะเดียวกับที่ต้องดำเนินการตัดลดงบประมาณรายจ่ายอย่างมโหฬารโดยอัตโนมัติ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมแล้ว เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็จะต้องจมลงสู่ภาวะถดถอยอีกคำรบหนึ่งแน่ๆ 3.เปลี่ยนอำนาจและผู้นำจีน พรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจปกครองสาธารณรัฐประชาชนจีน เปิดการประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 18 ตอนกลางเดือนพฤศจิกายน และก็เป็นไปตามความคาดหมาย คณะผู้นำจีนชุดเดิมที่นำโดยประธานาธิบดีหู จิ่นเทา และนายกรัฐมนตรี เวิน เจียเป่า ก้าวลงจากอำนาจและเปิดทางให้คณะผู้นำชุดใหม่นำโดยสี จิ้นผิง และหลี่ เค่อเฉียง สืบทอดอำนาจแทนที่ โดยที่กระบวนการเปลี่ยนถ่ายคณะผู้นำจะไปเสร็จสิ้นสมบูรณ์เมื่อมีการประชุม รัฐสภาเดือนมีนาคมปีหน้า โดยที่ในตอนนั้นสีจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ขณะที่ หลี่ก็จะนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ 4. สถานการณ์หนี้ในกลุ่มยูโร วิกฤตหนี้สินของยูโรโซน ซึ่งยืดเยื้อเข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว ยังคงไม่เป็นที่ชัดเจนว่าจะจบลงด้วยการสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย หรือจะกลายเป็นตัวเร่งให้แก่วิวัฒนาการสู่การรวมตัวเป็นเอกภาพของทวีปนี้ โดยที่ยุโรปยังคงโซซัดโซเซอยู่ระหว่างการแตกเป็นเสี่ยงๆ ของเขตยูโรโซน และการมีมาตรการอันเข้มแข็งขึ้นเพื่อสร้างสหภาพทางการคลังและทางการเมืองที่ เหนียวแน่นขึ้นมาให้สำเร็จ ในเวลาเดียวกัน จากการที่ข้อเสนอของพวกนิยมให้แก้ปัญหาด้วยมาตรการเข้มงวด นำโดยนายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนี ได้รับชัยชนะเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีการบังคับพวกประเทศที่ประสบปัญหาหนักต้องตัดลดงบประมาณรายจ่ายอย่าง แหลกลาญ ทว่ามาตรการเหล่านี้กำลังทำให้ประชาชนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทนไม่ไหว และก่อการประท้วงขนาดใหญ่ขึ้นมาไม่ขาดสาย 5. อาเบะเป็นนายก ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาล่างของญี่ปุ่นในตอนต้นเดือนธันวาคม ฝ่ายรัฐบาลที่มีพรรคเดโมเครติก ปาร์ตี้ ออฟ เจแปน (ดีพีเจ) เป็นแกนนำ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ยับเยิน ขณะที่พรรคลิเบอรัล เดโมเครติก ปาร์ตี้ (แอลดีพี) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองอนุรักษนิยมที่เคยปกครองญี่ปุ่นแทบจะต่อเนื่องเรื่อยมา ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประสบชัยชนะอย่างงดงาม ทำให้ ชินโซ อาเบะ หัวหน้าพรรคซึ่งแสดงตัวเป็นนักชาตินิยม ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง 6. ความไม่มั่นคงในซีเรีย การประท้วงอย่างสันติในซีเรียเพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปตามกระแส “อาหรับ สปริง” เมื่อเกือบ 2 ปีก่อน ได้พัฒนากลายเป็นสงครามกลางเมืองอันรุนแรง โดยที่รัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ถูกกล่าวหาว่าใช้กำลังทหารปราบปรามประชาชนผู้ประท้วงอย่างโหดเหี้ยม และฝ่ายตะวันตกก็เร่งให้ความสนับสนุนอย่างเปิดเผยแก่กลุ่มกบฏ เวลานี้สถานการณ์ของอัสซาดกำลังลำบากมาก เพราะแม้แต่ชาติที่เคยหนุนหลังแข็งขันอย่างรัสเซีย ก็ยังชักเริ่มเปลี่ยนเสียง 7. พายุที่ถล่มมหานครนิวยอร์ก พายุเฮอริเคน “แซนดี” ซึ่งมีขนาดใหญ่โตมหึมาจนได้รับการขนานนามเป็น “มหาวายุ” (ซูเปอร์สตอร์ม) พัดกระหน่ำใส่ชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ตอนปลายเดือนตุลาคม สังหารผู้คนไป 128 ราย และสร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่ากว่า 71,000 ล้านดอลลาร์